เทศน์บนศาลา

ประมาทนอนใจ

๒๑ ก.ค. ๒๕๔๘

 

ประมาทนอนใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอาสาฬหบูชาเห็นไหม วันอาสาฬหบูชาวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมไง แล้ววันพรุ่งนี้จะวันเข้าพรรษา พระกรรมฐานนะ เวลาเข้าพรรษาจะไปทำวัตรครูบาอาจารย์ ทำวัตรครูบาอาจารย์มาเพื่ออะไร เพื่อให้ตั้งตนไง เพื่อให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

พวกเรานี่ “ประมาทนอนใจ”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมเห็นไหม แสดงธรรมจักร เทวดาส่งข่าวขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลยนะ เทวดา ธรรมจักร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมแล้ว จักรนี้ได้เคลื่อนแล้วไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแล้ว สิ่งนี้จะย้อนกลับไม่ได้เลย สิ่งที่ย้อนกลับไม่ได้เห็นไหม เวลาประกาศธรรมไปนี่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม

พระอัญญาโกณฑัญญะ พระปัญจวัคคีย์ เวลาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี อุปัฏฐากนะ ร่ำร้องนะ พระอัญญาโกณฑัญญะตั้งแต่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ฟันธงเลยว่า “ต้องออกประพฤติปฏิบัติ ต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วรอเวลา ฟังซิ รอเวลานะ คนเรารอคอย ๒๙ ปี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชเห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะนัดพราหมณ์ที่เคยพยากรณ์ไว้ออกไปเพื่ออุปัฏฐาก เพื่อจะรอไง รอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง

นี่สิ่งที่รอคอย รอคอยเรื่องธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนะ ลุ้น ลุ้นให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเห็นไหม ทรมานร่างกาย อดอาหารจนขนาดว่าขน รากขนนี้เน่าหมด ขนนี้ร่วงหมดเห็นไหม เวลากลั้นลมหายใจจนสลบถึง ๓ หน สิ่งที่จะค้นคว้า สิ่งที่เป็นอุกฤษฏ์ไง สิ่งที่อุกฤษฏ์เห็นไหม สิ่งที่ละเอียดอ่อน เรื่องของนามธรรมนี้ละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนเพราะเราไม่เข้าใจไง ทุกคนต้องส่งไปหาสิ่งที่รับรู้จากภายนอก

เวลาเราประกอบธุรกิจ เราทำสิ่งต่างๆ เราต้องการตลาดเห็นไหม เราต้องการผู้ที่มารับช่วงเพื่อเป็นผลประโยชน์ที่เราจะแสวงหาจากสิ่งนั้น ใจก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส มันเป็นความสงบไง เป็นสมาบัติ สิ่งที่เป็นสมาบัติมันก็เป็นความแปลกประหลาด มันก็เป็นความมหัศจรรย์นะ ใจนี่เข้าไปสัมผัสความสงบแล้วมีพลังงาน ความสงบเวลาสัมมาสมาธิ เราทำจิตสงบเข้ามา สิ่งนี้สงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ มันจะตั้งมั่นของมัน

แต่ถ้าทำสมาบัติเห็นไหม ตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ขึ้นอากาสานัญจายตนะ สิ่งที่จิตมันขับเคลื่อน มันขับเคลื่อนออกไปยกระดับขึ้นไปจากหยาบไปหาละเอียด สิ่งที่รูปฌาน อรูปฌาน สิ่งนี้พอมันหมุนเวียนออกไป มันขับเคลื่อนถอยเข้า-ถอยออกจะมีพลังงานมาก สิ่งที่พลังงานมันจะรู้ไปหมดนะ

สิ่งที่รู้ไปหมดเห็นไหม ดูซิ ดูอย่างเทวทัตซิ พระเทวทัตนี่ออกประพฤติปฏิบัติ ทำความสงบของใจเข้ามา เหาะเหินเดินฟ้าได้ พระเทวทัตแปลงกายเป็นงู เป็นสิ่งต่างๆ ไปพันอชาตศัตรูให้อชาตศัตรูลงใจไง สิ่งที่แปลงไปให้ตกใจเห็นไหม อชาตศัตรูตกใจมาก สิ่งที่อยู่โดยปกติทำไมมีงูมาพันบนศีรษะ เทวทัตแปลงกายไปบอก “อย่าตกใจๆ” อยากจะอวดฤทธิ์อวดเดชให้พระเจ้าอชาตศัตรูศรัทธาไง เวลาพระเทวทัตทำได้ฌานโลกีย์อย่างนั้นเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติอยู่กับอาฬารดาบสก็นี่พลังงานนี้มันมี แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ลุ่มหลงในสิ่งนี้เพราะอะไร เพราะบุญญาธิการไง สิ่งที่สร้างสมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องใช้ปัญญาญาณเข้ามา สิ่งนี้เวลามันมีพลังงานเข้ามาขนาดไหน เวลามันคายตัวออกมานี่มันเป็นความกระทบของใจ ใจมันจะรู้เลยว่าสิ่งนี้มันมี สิ่งที่มีอยู่คือความลังเลสงสัย คือสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจไง

ถ้าฝังในหัวใจเห็นไหม ดูซิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลามันปล่อยวาง มันว่าง เราจะว่าสิ่งนี้มันเป็นความว่าง สิ่งนี้มันเป็นความมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้วิปัสสนาเลยนะ เรายังไม่ได้เห็นปัญญาญาณเลย เรายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ยังไม่เกิดวิปัสสนา ขณะจิตสงบเข้ามาอย่างนี้ เราก็ยังแปลกประหลาดกับความเห็นของเรา

แต่เจ้าชายสิทธัตถะขนาดไปได้สมาบัติ ๘ นี่มันมีความลุ่มลึกกว่านี้อีก มันจะเห็นตั้งแต่สิ่งที่เป็นอดีตชาติ สิ่งต่างๆ มันจะมองเห็นไปได้ แต่ ! แต่สิ่งนี้มันเป็นการส่งออกที่จิตออกไปรับรู้ เหมือนกับเราทำธุรกิจต้องหวังตลาดไง ถ้าไม่มีตลาดสิ่งที่เป็นสินค้าเรา เราจะไปขายให้ใคร จะมีใครรับซื้อ จะมีกำไรขาดทุน จะมีผลต่างอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจสงบเข้ามาสภาวะแบบนี้ สิ่งที่สงบเข้ามา..ปัญจวัคคีย์ก็รอ ปัญจวัคคีย์ว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม รอคอยอยู่ตั้งแต่ ๒๙ ปีจนเจ้าชายสิทธัตถะออกแสวงหาโมกขธรรมยังรอคอยอีก ๖ ปี ๖ ปีจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ไง กว่าจะตรัสรู้เห็นการประพฤติปฏิบัติ เรามองด้วยสายตาของเรา เวลาอุกฤษฏ์ เวลาอดอาหาร เวลากลั้นลมหายใจ เวลาไปทำสิ่งที่ทดสอบกับลัทธิศาสนาต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามนะ

เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าพระปฏิบัติออกประพฤติปฏิบัติในป่าในเขา จะเข้าใจเรื่องความทุกข์ความยากอย่างนี้นะ เวลาอุกฤษฏ์นะ เวลาสิ่งที่จิตใจมันเรียกร้อง จิตใจมันแสวงหา จิตใจมันต้องการ เราต้องใช้สติเข้าไปยับยั้ง ขณะตั้งสตินะ ยับยั้งมัน เพราะสิ่งที่มันแสวงหา มันต้องการนั้น มันเป็นความฟุ้งซ่านของใจไง ถ้าใจมันฟุ้งซ่านออกไป มันมีกิเลส มันมีอุปาทานความยึดมั่น แล้วอยู่ที่จริตนิสัยของแต่ละบุคคลนะ

ยึดมั่น หมายถึงว่า ตรงกับจริต สิ่งใดถ้าตรงกับจริต..สิ่งนี้กระทบใจใจจะฟุ้งมาก ถ้าไม่ตรงกับจริตมากระทบนะ มันก็แบบว่าเป็นปกติหรือมีความรับรู้เฉยๆ มันไม่ออกไป สิ่งที่เป็นจริตถ้าสิ่งใดกระทบมันจะฟุ้งมาก ฟุ้งออกไปเห็นไหม เราต้องใช้สติ เราต้องยับยั้ง

เหมือนกัน..เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ ลุ้นกันนะ ปัญจวัคคีย์พยายาม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำความอุกฤษฏ์ขนาดไหน ว่าสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของรูปธรรม สิ่งนี้เป็นเรื่องของร่างกายเพราะเข้าใจว่าการอด การกลั้นลมหายใจ ในเมื่อกลั้นลมหายใจกิเลสมันก็จะตายไปด้วย อดอาหารกิเลสมันก็จะตายไปด้วย มันไม่ได้ตายเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ ถึงกลับมาฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วตั้งความปรารถนาว่า

“ถ้าคืนนี้นั่งถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ลุกจากโคนไม้”

ปัญจวัคคีย์เห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาฉันอาหาร กลับมามักมาก ขนาดทำอุกฤษฏ์ขนาดนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกลับมาฉัน กลับมามักมากในอาหาร หมดความหวังนะ สิ่งที่ทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป รอคอยขนาดว่า ๒๙ ปี รอคอยอีก ๖ ปีว่านี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขนาดไหน ถึงเวลาย้อนกลับมาฉันอาหารนางสุชาดาทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา ย้อนกลับมาคิดถึงตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก นั่งอยู่โคนต้นหว้า สิ่งที่โคนต้นหว้ากำหนดอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก สิ่งที่ว่าลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ฌานสมาบัติ ถ้าเป็นฌานสมาบัติกำลังมีแต่ไม่มีปัญญา สิ่งที่ไม่มีปัญญา ดูพระเทวทัตขณะที่ฌานโลกีย์เหาะเหินเดินฟ้าได้ แปลงกายได้ สิ่งนี้เกิดจากพลังงาน สิ่งนี้เกิดจากกำลังของจิต ถ้ากำลังของจิตมีกำลังอย่างนี้ มีกำลังแล้ว ถ้ามีจริตมีนิสัยน้อมไปจะเหาะเหินเดินฟ้านี้เป็นเรื่องปกตินะ

สิ่งที่เป็นเรื่องปกตินี้ถ้าจิตสงบเข้ามา แต่สิ่งนี้ก็เป็นอนิจจังไง สิ่งที่เป็นอนิจจังถ้าเราเข้า..ฤๅษีชีไพรทำความสงบได้ เหาะได้ สิ่งที่เหาะได้ก็เสื่อมได้ สิ่งที่เสื่อมได้มันก็เวียนไปในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนไปในกฎของอนิจจัง มันก็มีความทุกข์ไง เราเคยเหาะเหินเดินฟ้า เราเคยมีความสงบแล้วสิ่งนี้หลุดไม้หลุดมือไป มันจะมีความทุกข์ไหม มันก็มีความทุกข์นะ ของเคยมีเคยได้แล้วไม่มีไม่ได้ มันยิ่งเผารนใจมากนะ

สิ่งที่เผารนใจเห็นไหม เวลานึกถึงโคนต้นหว้ากำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อานาปานสติย้อนกลับเข้ามา สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามาเห็นไหม นั่งโคนต้นโพธิ์แล้วเริ่มตั้งแต่อานาปานสติเข้ามา จิตนี้พอสงบเข้ามาปล่อยวางต่างๆ เข้ามาเป็นอิสระ สิ่งที่เป็นอิสระเห็นไหม จิตไม่อยู่ในการปกครองของกิเลสชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วครั้งชั่วคราวนะ พอจิตสงบเข้ามานี่เวลาปฐมยาม พอจิตสงบเข้ามาเวลาออกมารับรู้ไง มันถึงไปเห็นข้อมูลของจิต ถ้าข้อมูลของจิตนี้คือ “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” สิ่งที่ข้อมูลของจิตคือสิ่งที่สะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่พระเวสสันดรออกไป ย้อนไปไม่มีต้นไม่มีปลาย

ถ้าการระลึกอดีตชาติ การสิ่งนี้ถ้าเป็นคุณเป็นสิ่งที่ว่าเป็นมรรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องหยุดแค่นี้ซิ นี้ไม่เพราะถ้าย้อนกลับมา เพราะยังไม่ได้ทำลายกิเลสเห็นไหม ย้อนกลับไปมัชฌิมยาม “จุตูปปาตญาณ” ก็เหมือนกัน เห็นจิตดับแล้วก็เกิด ดับแล้วก็เกิดๆ เพราะพลังงานมันมีไง เวลาพลังงานมันมีเห็นไหม สิ่งที่พลังงานมันมีมันเป็นไป พลังงานนี้คือกรรม คือกุศล บุญกุศลและบาปอกุศล จิตนี้ต้องไปเกิดตามอำนาจของพลังขับเคลื่อน คือการสะสมของใจเห็นไหม การกระทำของเราถึงว่า สิ่งที่กระทำสิ่งใดแล้วแต่มันสะสมลงที่ใจนี้

เพราะจิตการกระทำนี้เกิดจากมโน เกิดจากความรู้สึก จิตนี้เป็นเจตนาเกิดจากความคิดก่อน เกิดจากการที่นึกคิด เกิดจากการคิดค้นของใจนี้ถึงมีการกระทำออกไป ถึงย้อนกลับมาที่นี่ ข้อมูลมันอยู่ที่นี่ นี่กรรม นี่จุติเห็นไหม เกิดตายๆ เกิดดับ จุตูปปาตญาณ นี่สิ่งนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด ถึงย้อนกลับมาเป็นปัจจุบัน อดีต-อนาคต อดีตคือบุพเพนิวาสานุสติญาณ อนาคตคือสิ่งที่จิตนี้ต้องขับเคลื่อนไป ย้อนกลับมาจนเป็นปกติ ลึกเข้ามา ถึงยามสุดท้ายถึง “อาสวักขยญาณ”

นี่อวิชชาไง อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง อวิชชานะ จิตมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาทั้งหมด ปล่อยวางเข้าหมด ปล่อยวางสิ่งที่เกิดเป็นอดีต-อนาคต อดีตคือข้อมูลเดิมก็ปล่อย สิ่งที่ขับเคลื่อนไปในอนาคตก็ปล่อย สิ่งที่ขับเคลื่อนมันจะย้อนกลับเข้ามาในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันนี้มันไม่มีอดีต-อนาคต มันไม่รับรู้สิ่งใด สิ่งที่ไม่รับรู้สิ่งใด พลังงานตัวนี้ไง พลังงานก็คืออวิชชาไง อวิชชาคือพลังงานที่มันปล่อยเขาเข้ามาหมด แต่ตัวมันเองทำสิ่งใด สิ่งที่ว่าข้อมูลของมันมันไม่เข้าใจสิ่งของมัน ต้องเกิดวิชชา วิชชานี้ไง วิชชาคือมรรคญาณ

วิชชา อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ความหลงไปของตัวจิต เวลาวิชชาเกิดขึ้นวิชชาคืออรหัตมรรค สิ่งที่อรหัตมรรค มรรคนี้วิชาการ วิชาการทางโลก วิชาการสถิติ วิชาการทางวิชาชีพ วิชาการต่างๆ นี้เกิดจากพลังงานตัวนี้ออกไปในขันธ์ ออกไปสืบต่อ สืบความคิดออกไป แต่วิชชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกลับเข้าไปในตัวความปล่อยวางจากอดีต-อนาคต

เราคิดเปรียบเทียบข้อมูล พลังงานนี้เกิดเป็นอดีต-อนาคตหมดนะ สัญญา สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ออกมาเป็นข้อมูลอดีต-อนาคต เพราะพลังงานนี้เคลื่อนออกมาจากอวิชชาตัวนี้ ปล่อยอดีต-อนาคตเข้าถึงตัวอวิชชาตัวนี้ แล้วพลิกคว่ำตัวอวิชชาตัวนี้เห็นไหม พลิกคว่ำตัวนี้ วิชชานี้เป็นขณะที่มรรคญาณหมุนออกไป เป็นอรหัตผล ถึงเป็นนิพพานหนึ่งไง สิ่งที่เป็นนิพพานหนึ่งนี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..สภาวธรรมมี

เวลาเรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะมาตรัสรู้สิ่งนี้ไง สิ่งนี้คือสิ่งที่สภาวธรรมที่มีอยู่ไง แล้วพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ แต่ผู้ที่จะเข้าไปถึงธรรมอันนี้ ความลึกลับของจิตอย่างนี้มันต้องสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ บุญกุศลมหาศาลอย่างนี้ ถึงจะมีความละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนของใจนะ ใจที่ละเอียดอ่อนมันทวนกระแสย้อนกลับเข้ามาที่ใจ

ทวนกระแสเห็นไหม ดูซิ ขณะที่เราขับรถ ขณะที่เราเคลื่อนไหวไปมันมีแรงเสียดทานแรงต้านทาน ในเมื่อเราคิดว่าทวนกระแส สิ่งนี้มันเป็นรูปธรรมที่เราคิดออกมาเป็นกลศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิชาการ แต่ขณะที่จิตมันเคลื่อนไป เราไม่เห็นความเคลื่อนไป มีแต่ความพอใจ ความเคลื่อนไปของจิต แต่กำหนดพุทโธเข้ามาให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามา

สิ่งที่สงบเข้ามาถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนานะ ก็เป็นโสดาปัตติมรรคเท่านั้น เพราะอะไร เพราะกึ่งพุทธกาลเวไนยสัตว์นี้มันต้องมรรค ๔ ผล ๔ เพราะอำนาจวาสนาต่างกัน สิ่งที่ต่างกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งนี้ขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขนะ วิมุตติสุข ดูซิปัญญาแบบพวกเรา ปัญญาอย่างสาวก-สาวกะ ขนาดที่ว่าเรารู้ทันของเรา เรามีปัญญาเกิดขึ้นมาเราก็ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา เราก็สืบต่อ เราก็สื่อสัมพันธ์สิ่งนี้ออกมาได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทธวิสัย ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว้างขวางมากเป็นอจินไตยนะ แต่เวลาไปตรัสรู้ธรรมสิ่งนี้ขึ้นมาท้อถอยนะว่า “แล้วจะสอนอย่างใด จะสอนเขาได้อย่างไร” จนขนาดทอดธุระเห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญา ปัญญามาก แล้วจะเทียบเคียงจะสื่อออกมาได้มหาศาลนี่ยังท้อใจๆ ความละเอียดของจิตอันนี้ไง

แต่ขณะที่เสวยวิมุตติสุข เพราะขณะที่ชำระกิเลสของตัวเองได้นี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปรู้ธรรม ความสุขใดๆ ที่เกิดจากความสงบ สงบอันนี้สงบลึกซึ้งมาก สงบลึกซึ้งจากภายใน ไอ้ที่ทำฌานสมาบัติที่เหาะเหินเดินฟ้านี่มันสงบแล้วมีพลังงานอย่างนี้มันก็เป็นความสงบ แต่มันสงบเฉยๆ สงบจากภายนอก สงบจากเงาเข้ามา แต่สิ่งที่เป็นเชื้อไขคือกิเลสตัณหาท่วมจิตอันนี้ จิตมหัศจรรย์อย่างนี้ไง ขณะที่สงบเข้ามามีพลังงานอันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ฆ่ากิเลสเลยมันก็สงบว่าสงบเข้ามา

แต่ขณะที่ไปฆ่ากิเลส ไปฆ่าเชื้อไขเห็นไหม ความสงบอย่างนี้สงบจากเชื้อด้วย สงบจากความฟุ้งซ่านอย่างหนึ่ง สงบจากเชื้อที่เป็นอวิชชาในหัวใจด้วยมรรคญาณทำลายอันนี้ ความสงบอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขไง เสวยวิมุตติสุขอยู่ จนพรหมมานิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะปรารถนามาว่าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะสอนใคร จะสอนใครก่อน เล็งญาณจะสอนใครเห็นไหม อาฬารดาบสก็ตายไปเสียแล้วเมื่อวาน แล้วจะสอนใคร ต้องสอนปัญจวัคคีย์ เพราะ! เพราะปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี สิ่งที่อุปัฏฐากอยู่นี่ นี่ทำความสงบของใจ

สิ่งที่ทำความสงบของใจ เหมือนที่ฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบกัน ไปเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์ แสดงธรรมจักร สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นี้คือใจ คือเนื้อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรนั้นเป็นวิชาการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเองแต่บัญญัติ บัญญัติขึ้นมา นี่สื่อออกมาเป็นกิริยาของธรรม คือการสื่อออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วสั่งสอน นี่บัญญัติออกมาเป็นศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ก็สื่อได้ พระปัจเจกพุทธเจ้านี่สอนได้ แต่สอนได้โดยปกติ โดยประสาอันนั้น โดยความสัมพันธ์อันนั้น เห็นไหมก็สอนได้แค่นั้น

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นบัญญัติเลยเห็นไหม เทศน์ธรรมจักร ทเวเม ภิกขเว สิ่งนี้สิ่งที่ไม่ควรเสพที่ปัญจวัคคีย์เห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมามักมากในอาหารเห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาฉันอาหาร ฉันอาหารเพราะความเข้าใจ ความเข้าใจขณะที่ธรรมยังไม่เกิดว่า “ถ้าเรามีกำลัง เรามีความคิด เราก็มีความทุกข์ ถ้าเราตัดรอนอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลส อดกลั้นลมหายใจเพื่อจะฆ่ากิเลส มรรคมันไม่เป็นมรรคเพราะอะไร? ”

เพราะว่ามันอดเฉยๆ เหมือนกับคนทุกข์คนยากอด แต่นี้เพราะท่านมีเจตนามีเป้าหมายว่าจะฆ่ากิเลสก็อด ตั้งใจ ตั้งใจอด ตั้งใจทำมัน แต่มันไม่ใช่มรรคเห็นไหม แต่ขณะที่ออกมาฉันอาหารแล้ว ฉันอาหารแล้วนี่ร่างกายฟื้นออกมา แต่เพราะการอดอาหารนั้นมันมีกำลัง เวลาย้อนกลับไป เวลาเป็นอานาปานสติเห็นไหม กำหนดลมหายใจแล้วย้อนกลับเข้ามา สิ่งที่เกิดปัญญาญาณ ปัญญามรรค ๘ ความดำริชอบ เพียรชอบ งานชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ ย้อนกลับมาเป็นธรรมจักร เป็นมรรค ๘

เทศน์ “ทเวเม ภิกขเว” ทางสองส่วนที่ภิกษุไม่ควรเสพเห็นไหม แล้วทางสายกลาง ทางสายกลางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่สัจจญาณ กิจจญาณ กิจจะ คือ จิตการกระทำของมัน จิตนี้สงบเข้ามา แล้วจิตนี้ยกวิปัสสนา วิปัสสนาอย่างไร พระอัญญาโกณฑัญญะ จิตสงบอยู่แล้วแต่ความยกของจิตขึ้นมาที่ว่าเข้าไป เข้าไปเป็นกิจ การที่จิตมันเคลื่อนเข้าไปทำลายกิเลส ที่ทวนกระแสเข้าไปเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร พระอัญญาโกณฑัญญะ ธรรม ตรึกตามไปด้วยเห็นไหม จนถึงที่สุด ถึงที่สุดเห็นไหม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งที่การเกิดขึ้นคือการกระทบของความรู้สึก สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากใจ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วต้องดับไปเป็นธรรมดา” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นกันโดยธรรมชาติไง แต่ขณะที่กิจจญาณมันเกิด เกิดนี่ธรรมดาแล้วมีมรรคญาณเข้าไปทำลายเป็นธรรมดา

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร นี่เทวดาอินทร์ พรหม ต่างๆ ส่งข่าวกันขึ้นไป แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม ขณะที่ธรรมจักร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมจักร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม เทวดาส่งข่าว สิ่งต่างๆ รอคอย

แต่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมจักรที่เราอ่านจากพระไตรปิฎก เราก็ตีความ เราก็ใช้ปัญญาเราใคร่ครวญไป สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่กิเลสเราเต็มหัว แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติเข้ามาจากความเห็นของใจดวงนั้น ครูบาอาจารย์เราบุกเบิกนะ ตำรานี้มีอยู่นะ สิ่งที่มีอยู่เราศึกษาขนาดไหนเราก็มีความลังเลสงสัย เราก็มีการตีความ เวลาจิตสงบขึ้นมาสิ่งนี้ตรงกับพระไตรปิฎก สิ่งนี้ตรงกัน เหมือนกันๆ

เหมือนที่ไหน! ถ้าเหมือนขึ้นมานี่มันต้องทำลายกิเลสซิ สิ่งที่ทำลายกิเลสออกไปจากใจย้อนกลับเข้ามาเห็นไหม แต่ครูบาอาจารย์ของเราสัมผัสสิ่งนี้ไง ถ้าสัมผัสสิ่งนี้เป็นการชี้นำอย่างนี้ไง ชี้นำเข้ามาในหัวใจเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ออกประพฤติปฏิบัติเห็นไหม สิ่งที่เราศึกษาว่าการมา เราศึกษามานี่ควรจะพักไว้ก่อนเพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ากิเลสมันอาศัยสิ่งนี้เป็นทางออกด้วย ถ้าสิ่งนี้เป็นทางออกเห็นไหม ขณะที่จิตสงบหวั่นไหว มันก็คาดการณ์ คาดหมาย

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมคือมันเป็นสัจจะความจริงที่มันสมควร สมดุลต่อกัน” แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติไป การคาด การด้น การเดาเห็นไหม จิตนี้มันเป็นไปตามการคาด การด้น การเดานั้น มันก็จะไม่เป็นสมควรแก่ธรรม ถ้าไม่สมควรแก่ธรรมแล้วเราให้ค่าไง เหมือน เหมือนไปหมด เราประมาทนะ เราประมาทหนึ่ง แล้วเราก็นอนใจด้วย นอนใจว่าสิ่งนี้ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมานี้เป็นผล ผลของกิเลสไง ผลของการยึดมั่นถือมั่นของเราไง ว่าเราเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก เราเทียบเคียงของเราเอง กิเลสมันก็พาเทียบเคียงไง

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ สัจจะความจริงมันเกิดโดยความเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน ดูซิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ว่าเวลาสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับเราไม่รู้เรื่อง แล้วมันเป็นไปเองไง มันเป็นไปเองนั่นมันไม่มีตัวตน แต่ถ้ามันเป็นไปโดยเรารู้ เราเข้าใจสิ่งนั้นนะ เรารู้กิเลสมันพารู้ด้วยไง สิ่งนี้สงบเข้ามา เวลายกขึ้นวิปัสสนาเห็นไหม พิจารณากายเห็นกายตามความเป็นจริง กายนี้แตกสลายไปตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของกิเลสไง

แต่ถ้าตามความเป็นจริงของธรรมนะ ของอริยสัจนะ ถ้าจิตสงบแล้วย้อนไปที่กายมันจะมีความสะเทือนใจมาก สะเทือนใจเพราะอะไร ขณะที่เราไม่รู้ว่าเราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เราก็เป็นปกตินะ แต่ถ้าเมื่อใดเราไปตรวจร่างกายแล้วหมอว่าเราเป็นโรคร้าย มันสะเทือนหัวใจเราไหม มันสะเทือนหัวใจมาก ว่าเราเป็นโรค เราต้องรักษาโรคของเรา เพราะเราเป็นโรคใช่ไหม นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตมันสงบเข้ามานะแล้วมันมองไปเห็นกาย เห็นกายๆ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันเข้าใจผิดไง กิเลส สิ่งที่กิเลสมันยึด มันยึดของมันนะ มันต่อต้านนะ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้เป็นจริงตามสมมุติ การเกิดและการตาย เป็นสัจจะความจริง ขณะที่เกิดขึ้นมาเราได้ร่างกายมาเพราะกรรม กรรมคือการกระทำ ทำดี ทำชั่วขึ้นมาเห็นไหม ทำคุณงามความดีเกิดขึ้นมา เรามีโอกาสวาสนา ทำบาปอกุศลเกิดเหมือนกันเกิดทุกข์เกิดยากเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นผลของกรรม สิ่งที่เป็นผลของกรรมมันเป็นจริงตามสมมุติ

แต่ขณะที่จิตเราสงบเข้ามาเห็นไหม ความเป็นไปของจิตไง ความเป็นไปของจิต..เราฟังธรรม เราเป็นชาวพุทธ เราก็ว่า เราเข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นของเรา แต่กิเลสมันมีสังโยชน์เกาะเกี่ยวอยู่เห็นไหม ถ้าเราไปเห็นกาย มันไปเห็นเชื้อไข เหมือนกับเราไปตรวจร่างกายแล้วหมอว่าเราเป็นโรคร้าย เราสะเทือนหัวใจ นั้นเรามีโอกาสรักษานะ แต่ถ้าเราไม่ได้ไปหาหมอตรวจร่างกายของเรา แล้วโรคร้ายนี้กำเริบขึ้นมานะ เราถึงกับเสียชีวิตไปโดยที่สายเกินไปไง สายเกินไป การนอนใจเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้วย้อนไปที่กาย ย้อนไปที่เวทนา จิต ธรรม มันจะเห็นสิ่งที่สะเทือนใจ เหมือนกับเราเห็นว่านี่คือตัวกิเลส นี่คือตัวโรคร้ายไง สิ่งที่โรคร้ายมันขวาง ขวาง มันยึดมั่นถือมั่นเพราะเป็นสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิคือทิฏฐิความเห็นผิด สิ่งที่เห็นผิดคือกิเลสมันเห็นผิดอยู่แล้ว กิเลสโดยธรรมชาติของมัน มันเห็นผิดอยู่โดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันถึงมีพลังขับเคลื่อนไง สิ่งที่เป็นเชื้อไขเป็นสภาวะแบบนี้เพราะความเห็นผิดของกิเลส ไม่ใช่เห็นตรงต่อธรรม ไม่เห็นตามความจริงโดยธรรม

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาค้นคว้าสิ่งนี้ มาเห็นสภาวะตามความเป็นจริงสิ่งนี้แล้ววางธรรมไว้เป็นบัญญัติเห็นไหม สิ่งต่างๆ นี้อาศัยเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาเราบวชพระเห็นไหม มีบริขาร ๘ แล้วดำรงชีวิตไปเพื่อการประพฤติปฏิบัติ ไม่ให้ประมาท ไม่ให้นอนใจ ถ้าประมาทนะ ประมาทมันก็สักแต่ว่าทำ ถ้าสักแต่ว่าทำเพราะไม่มีสติ ไม่มีสติไง ทำไปสักแต่ว่า แล้วแต่ว่าผลจะเป็นไป แล้วก็เลี่ยงนะ เวลานั่งสมาธิเห็นไหม กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน กี่ปี นั่งสมาธิเพื่อความสงบ ประพฤติปฏิบัติเพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อสถิติว่ากี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน กี่ปี เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมว่า “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนี้เป็นสัจจะ เป็นสัจจะนะ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราเอาจริงหรือเปล่าล่ะ เราทำของเราไม่จริง ถ้าเราทำ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ก็ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีด้วยความเรียกร้อง ด้วยความต้องการ ด้วยความด้นเดา ด้วยความคาดหมาย มันไม่ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีโดยสัจจะความจริงของเขา มันเป็น ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีที่เรารอคอยแล้วเราเรียกร้องนะ การนอนใจ เราคิด เราอ่านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมมาแล้วเราก็นอนใจว่าจะต้องเป็นแบบนั้นไง

แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติของเราให้เป็นสัจจะความจริง การประพฤติปฏิบัติมีครูมีอาจารย์หนึ่ง มีการปฏิบัติของเรา เวลามันผิดพลาด ความผิดพลาดของมันเห็นไหม เวลาเรารักษาไม่ดี จิตเสื่อมไป เวลาวิปัสสนา วิปัสสนาโดยที่กำลังของเราไม่พอ มันไม่สมดุล มันไม่ลงตัว สิ่งที่ไม่ลงตัว มันไม่ลง มันไม่ปล่อย มันมีความทุกข์นะ สิ่งนี้มันกวนใจ ถ้าสิ่งนี้กวนใจสิ่งนี้จะเป็นคติเตือนใจ ถ้ามีคติเตือนใจเราจะระวัง เราจะเริ่มระวัง ใช้อุบายวิธีการแยกออกมา แยกออกจากกิเลสที่มันดึงไว้ไง กิเลสมันจะสร้างสถานการณ์อย่างนี้ให้เราล้มลุกคลุกคลาน แล้วให้เราท้อถอยน้อยเนื้อต่ำใจนะ ถ้ากิเลสมันมีอำนาจมันจะน้อยเนื้อต่ำใจ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดชั่วครั้งชั่วคราว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริงเหนือความจริง แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเราเข้าไปเห็นไหม เราต้องสร้างสัจจะขึ้นมาจากใจของเรา ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิมันก็เป็นความสัมผัสของใจ ถ้าเป็นสมาธิโดยที่ว่าเกิดโดยส้มหล่น เวลามันเกิดเป็นสมาธิเอง แต่เราสติคำบริกรรมของเราไม่สมดุล เราไม่เข้าใจอย่างนั้น เราก็ต้องพยายามฝึกตรงนี้ไง ย้อนไปหาเหตุนะ

เวลาพระอัสสชิบอกกับพระสารีบุตรเห็นไหม “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไประงับที่เหตุนั้น”

นี่ก็เหมือนกัน คำบริกรรม สติของเรานี่เป็นเหตุ ถ้าเราไปหาที่เหตุ เหตุคือหลักการ จิตของเรานี่ต้องมีหลักมีจุดยืน ถ้ามีจุดยืนนี่คำบริกรรมมันจะมีนะ นี่คำบริกรรมไง แต่เราต้องการความสงบ ความมักง่าย ความมักง่ายเห็นไหม ภาวนาไปโดยใช้สติควบคุมจิตของเราไป ถ้ามีสติควบคุมจิตของเรา แล้วถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ เราใช้ปัญญาของเรา เรามีสติควบคุมไป ปัญญาจะไปขนาดไหนสติมันตามไปไง ถ้าสติตามไปนี่โดยหลักถ้าคนมีจุดยืน คนมีหลักของตัวเอง การประพฤติปฏิบัติมันจะไม่ล้มลุกคลุกคลาน

แต่คนไม่มีหลักนี่ไม่มีหลักนะ เอาแต่ใจของตัว เอาแต่อำนาจของกิเลสให้กิเลสมีอำนาจบาตรใหญ่ แล้วทำแต่อำนาจของกิเลสร้องเรียกหาผลนะ ร้องเรียกหาผล แล้วก็นอนใจด้วยนะ นอนใจว่าประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนะ ถ้านอนใจเห็นไหม คนนอนใจ ดูซิ ดูสัตว์มันนอนอยู่ในปลักของมัน มันนอนจมปลัก มันมีความร่มเย็นเป็นสุขของมันเห็นไหม มันเย็น มันพอใจ นอนในปลัก

นี่ก็เหมือนกันในเมื่อหัวใจของเรามันเป็นอู่นะ เป็นโอฆะ แล้วจิตนี่ความรู้สึกของเรานี่มันนอนใจอยู่ในโอฆะของมัน มันก็พอใจของมันไง สิ่งที่พอใจเพราะกิเลสมันหลอกลวง หลอกลวงให้เราล้มลุกคลุกคลานนะ แต่ถ้าเรามีสตินะ ดูสัตว์นะเวลามันขึ้นออกจากปลัก ถ้าออกจากปลักแล้วมันลงน้ำลงท่า มันไปชำระล้างร่างกายของมัน มันก็สะอาดได้นะ โดยธรรมชาติของมันสัตว์มันก็ทำ สัตว์มันดำรงชีวิตของมัน

แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาใจของเรา เราจะทำประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ทำไมเราไม่เอาใจของเราออกจากกิเลสล่ะ ทำไมเราไม่ตั้งสติ ทำไมเราไม่มีสติของเราให้หัวใจเราเข้มแข็งขึ้นมาละ ถ้าหัวใจเราเข้มแข็งขึ้นมา ความเข้มแข็งสิ่งที่หัวใจเข้มแข็ง คนเรานะ..ร่างกายอ่อนแอ..จิตใจอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ..จิตใจเข้มแข็ง ร่างกายเข้มแข็ง สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของรูปธรรม นามธรรม

ถ้าเป็นเรื่องของนามธรรมเห็นไหม เราจะตั้งสติของเรา เราจะต้องทำของเรา นี่ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม แล้วประกาศธรรม ประกาศสัจจะความจริงไว้ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกนะ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นไหม ตรัสรู้มีดวงตาเห็นธรรมก่อน แล้วพระอัสสชิ พระปัญจวัคคีย์ตามๆ กันมาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาอนัตตลักขณสูตรจนถึงเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

ถึงพระยสะเห็นไหม ยสะเวลาแยกกันออกมา ยสะเห็นไหม “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” ที่นี่เดือดร้อนหนอนะ มีปราสาท ๓ หลัง มีที่อยู่อาศัยเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ความเป็นไปไง ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าหัวใจมันเร่าร้อนสิ่งที่อาศัยมันก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าหัวใจเห็นไหม หัวใจมีความสงบ หัวใจมีความเข้าใจความเป็นจริงอยู่โคนไม้มันก็มีความสุข

ความสุขความทุกข์มันเกิดจากใจ คำว่าเกิดจากใจ สิ่งที่เกิดจากใจต้องมีบรรทัดฐาน ต้องมีสิ่งที่ว่าเป็นมรรคญาณเข้าไปตรวจสอบ เข้าไปเป็นตัวหลัก ถ้าบอกสิ่งที่เกิดจากใจมันก็เกิดจากใจของเราแต่ใจที่มันเกิดอย่างนี้มันเกิดโดยความคาดความหมาย มันก็มั่นหมายของมันไปอย่างนั้นแหละ มันไม่เป็นตามความจริงหรอก

สิ่งที่ไม่เป็นตามความเป็นจริง เพราะ! เพราะกิเลสมันพาให้เรานอนใจไง ถ้าเรานอนใจมันถึงต้องสลัดเหมือนสัตว์ที่มันขึ้นจากปลักนะ เราต้องมีสติ เราต้องสลัด เราต้องมีความเข้มแข็ง ถ้าเราสลัดสิ่งนี้ขึ้นมาแล้วเราเริ่มต้นของเราเห็นไหม หนึ่งไม่ประมาท สิ่งที่ความประมาท ประมาทเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งใดเคยทำก็ทำสิ่งที่เคยชินนั่นนะ

เราเคยทำเห็นไหม เวลาข้อวัตรปฏิบัตินะ เวลาข้อวัตรปฏิบัติของพระกรรมฐาน สิ่งนี้ข้อวัตรนี้เป็นเรื่องของหมู่คณะ เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ เป็นธรรมวินัย น้ำล้างบาตร น้ำล้างเท้า น้ำต่างๆ เห็นไหม วัตรในโรงฉันไง วัตรในกุฎี วัตรในการทำความสะอาดห้องน้ำ วัตรต่างๆ วัตรนี้เพื่อวัดใจ ให้ใจนี้ออกมา ออกมาเคลื่อนไหว ในการประพฤติปฏิบัติมันมีแรงกดดัน สิ่งที่แรงกดดันของกิเลส กิเลสมันกดดันหัวใจตลอดเวลา สิ่งที่เรามาทำข้อวัตรนี่เพื่อผ่อนคลายสิ่งนี้ นี่เป็นอุบายวิธีการนะ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวัตรปฏิบัตินี้เพื่อจะให้เราหมุนออกมา ให้กิเลส ให้สิ่งต่างๆ

เหมือนกันการสละทาน เวลาเราทำทานกันเห็นไหม เวลาทำทาน ทานเพื่ออะไร เวลาทำทานเราก็ว่าเราสละสิ่งของไป แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าใจของเรานี้มีเจตนา ใจของเรามีความตั้งใจ ถ้าใจเรามีความตั้งใจเห็นไหม การสละทานก็ออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจใจก็อ่อน ใจก็นิ่มควรแก่การงาน ถ้ามีศีลเข้าไปควบคุมเห็นไหม ใจก็ตั้งมั่น ใจก็เป็นปกติ แล้วถ้าเกิดมีปัญญาออกมาจากใจนี่ ศีล สมาธิ ปัญญาเห็นไหม สิ่งที่สลัดออกมานี่ ถ้าเราสลัดตัวจิตออกจากปลักมันจะไม่นอนจม

สิ่งที่ประมาทแล้วนอนใจจะทำให้การประพฤติปฏิบัติของเรา เวลานะ..เวลามันล่วงไปๆ เราเกิดมา สิ่งที่เกิดมาเกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วย ดูซิปัญจวัคคีย์นะเกิดมาแล้ว รอ เรียกร้อง ร่ำร้อง รอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมานี้เกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม เทวดาเขาสาธุการกันขึ้นไปว่าธรรมจักรนี้เกิดแล้ว แล้วเราเกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา ถ้าเรานอนใจอยู่เราจะใช้ชีวิตของเราเป็นเหมือนกับโลกเขา สิ่งที่โลกเขาใช้ชีวิตนั้นมันก็เป็นชีวิตที่ว่าอำนาจวาสนาของเขา

คนเกิดมาเห็นไหม เกิดมามามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด คนเราเกิดมาสว่าง เกิดในสกุลสัมมาทิฏฐิ เกิดในตระกูลพ่อแม่ที่พร้อมเพรียง พ่อแม่คนไหนไม่รักลูก พ่อแม่คนไหนก็รักลูกทั้งนั้น สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับลูกของเรา เราจะสละให้ทั้งหมด แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ในบ้านนะ ถ้าเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเราก็ต้องการให้ลูกของเรามีความเป็นสุขในโลก แต่เวลาเราบวชไป อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์เห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์เป็นทั้งพ่อทั้งแม่นะ ทั้งพ่อทั้งแม่เพราะเลี้ยงหมดเห็นไหม เป็นครูเป็นอาจารย์เพราะเลี้ยงหัวใจไง

พ่อแม่เราเลี้ยงแต่ร่างกาย หัวใจของเราพ่อแม่ของเราก็เป็นพระอรหันต์ในบ้าน การทำอนันตริยกรรมไง ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอริยเจ้า ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน สิ่งนี้เป็นอนันตริยกรรม คุณค่าของพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ในบ้านไง แต่พ่อแม่ของเราก็เลี้ยงเราอย่างนั้น เราเกิดมานี่ครูบาอาจารย์ก็ต้องการสิ่งนี้เหมือนกัน ต้องการสิ่งที่ว่าสิ่งที่ให้ดวงตาเห็นธรรม ถ้าเราต้องการดวงตาเห็นธรรมเราก็ต้องย้อนกลับเข้ามา ทวนกระแสเข้ามา งานจากภายในสิ่งที่งานจากภายในมันจะไม่นอนจมของมัน ถ้ามันนอนจมของมัน มันก็นอนจมอยู่ในปลักของกิเลส ถ้ามันนอนจมอยู่ในปลักของกิเลส มันก็เวียนอยู่ในสภาวะแบบนั้น ถ้าเวียนอย่างนี้มันจะไม่ได้ประโยชน์กับมัน ไม่ได้ประโยชน์นะ

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จะเห็นสภาวะตามความเป็นจริง”

ผู้ใดปฏิบัติธรรมเพื่อบูชากิเลสไง เพื่อบูชาตัวพญามารในหัวใจไง ปฏิบัติขนาดไหนก็ไปยอมจำนนกับกิเลส ยอมจำนนกับกิเลส เพราะกิเลสเวลามันมีกำลังขึ้นมานะ ทำไมเราต้องมาทุกข์มายาก กิเลสสิ่งที่มันจะเริ่มแหย่เรา ก็ทำไมต้องทุกข์ต้องยาก ทำไมไม่อยู่สุขอยู่สบาย อยู่สุขอยู่สบาย โลกเขาก็อยู่กันอยู่สุขอยู่สบาย อยู่ปราสาทเดี๋ยวนี้ตึกสูงๆ เขาอยู่กันสูงขนาดไหน เขาก็มีความเดือดร้อนหัวใจของเขาทั้งนั้น สิ่งสภาวะแบบนั้นแล้วมนุษย์อยู่ในตึกสูงมีแค่คนเดียวหรือ มีเป็นหมื่นเป็นพันเป็นแสน แล้วเราจะต้องการอย่างนั้นหรือ

แต่ขณะที่เราไม่ต้องการสิ่งนั้น เราถึงต้องกลับมาเห็นไหม ไม่ต้องการอยู่สุขอยู่สบาย ถ้าอยู่สุขอยู่สบายกิเลสมันยิ่งมีกำลัง ทำไมเราอดนอนผ่อนอาหาร อดนอนผ่อนอาหารเพื่อผ่อนกำลังของกิเลสด้วยไง เวลาธาตุขันธ์มีกำลังมากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าใจเลยธาตุขันธ์กำลังมาก เวลานั่งสมาธิมันก็ไม่ลงนะนั่งถ้าถึงตกภวังค์มันก็เงียบหายไปเลยเพราะขาดสติ สิ่งที่เกิดเพราะอะไร ถ้าย้อนกลับเข้ามาเป็นเพราะธาตุขันธ์มีกำลัง ถ้าธาตุขันธ์มีกำลังเราจะเริ่มผ่อนอาหาร สิ่งที่ผ่อนอาหารนะ ผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มีกำลังไง เพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มีกำลังเห็นไหม ทำให้หัวใจ หัวใจมีช่องทางที่จะออก ถ้าหัวใจมีช่องทางที่จะออก ธุดงคกรรมฐานถึงสำคัญอย่างนั้นไง

ก่อนจะเข้าพรรษาเวลาเราอธิษฐานพรรษาเห็นไหม ดูสิ จักขุบาลวันเข้าพรรษาอธิษฐานไม่นอน ๓ เดือน เวลาประพฤติปฏิบัติไปคนไม่นอนนะ ขณะที่ง่วงนอนมีความทุกข์มาก แล้วง่วงนอนมันจะไปเป็นประโยชน์ต่อการประพฤติปฏิบัติหรือ ขณะที่ง่วงนอน เวลาขณะที่เราหิว เราหิวกระหายเราเหนื่อย สิ่งนี้กิเลสมันเอาสิ่งนี้เป็นแรงยุไง สิ่งที่เป็นแรงยุว่า จะเป็นจะตายแล้วนะ เวลาทำขึ้นมา สายป่านมันจะขาดแล้วนะ มันหลอกทั้งหมด กิเลสมันจะหลอกเราแต่ถ้าเรามีสติไง สิ่งนี้เราจะผ่อนๆ กำลังของมัน ขณะที่ผ่อนกำลังนั้นกำลังของมันๆ ก็สะเทือนตัวมันเห็นไหม ถ้ากิเลสมันสะเทือนตัวมัน มันถึงหาเหตุผลมาอ้างอิงไง ถ้าปัญญาเราไม่ทันเราก็ล้มลุกคลุกคลาน

ถ้าปัญญาเราทันนะ เราจะพลิกกลับได้เลย สิ่งนี้เราพลิกกลับ คนที่เขากินกันนะ เขากินกันเขาทานอาหารกันวันหนึ่งสิบมื้อ ยี่สิบมื้อ นี่เขาได้ประโยชน์อะไร เขาขนาดกินอาหารกันแล้วเขาก็ต้องไปออกกำลังกายกัน เขาต้องทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมา เราฉันมื้อเดียวหนึ่ง ขณะที่ฉันเพื่อดำรงชีวิตไป แต่ถ้าเราอดอาหารด้วย เราอดนอนด้วย สิ่งนี้มันเป็นความไม่ต้องการของกิเลส ถ้าเราทำสิ่งนี้ได้ กิเลสมันโดนเราต้อนเข้าจนมุม ถ้ากิเลสเราต้อนเข้าจนมุม ถ้าเรามีปัญญาเข้าไปใคร่ครวญ นี่ปัญญามันจะเกิดอย่างนี้นะ ปัญญาที่เกิดในภาวนามยปัญญาไม่ใช่ปัญญาสถิติ ไม่ใช่โลกียปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ เขา

นักวิทยาศาสตร์เวลาเขาพิสูจน์ เขาทดสอบ เขาค้นคว้ากันเห็นไหม เขาใช้ความตรึกของเขา เขาพิสูจน์ขึ้นมาแล้วเขาตรึกของเขา ค้นคว้าของเขา บางทีเกิดขึ้นมาจากจินตนาการของเขาเห็นไหม แล้วพยายามพิสูจน์กันขึ้นมาให้เป็นทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์คือการทดสอบทดลองแล้วออกมาเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ ถึงยอมรับว่าเป็นผลทางวิทยาศาสตร์

แต่ถ้าเราใช้ภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจนตรอกจนมุมไง สิ่งที่เกิดขึ้นปัญญามันเกิดขึ้นการฝึกปัญญาไง ถ้าเราทำความสงบของใจ นี่สมาธิแก้กิเลสไม่ได้นะ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาก็เป็นโลกียปัญญาทั้งหมด สิ่งที่สมาธินี้เป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา ถ้าเราทำความสงบเข้ามาเรากำหนดพุทโธ พุทโธเข้ามานี่จนจิตสงบเข้ามา แล้วถ้าเราอดนอนผ่อนอาหารจนเข้าไปจนมุม ปัญญาอย่างนี้จะเกิดเป็นครั้งเป็นคราว การเกิดเป็นครั้งเป็นคราวนี้คือการฝึกไง

ปัญญาจะเกิดขึ้นจากการฝึกฝน ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่จะรอให้มันหล่นมาจากฟ้า ปัญญาจะเกิดขึ้น ถ้าปัญญาหล่นมาจากฟ้าก็ปัญญาของกิเลสไง ปัญญาของกิเลสว่า เราทำมาประพฤติปฏิบัติมาแล้วเราทุกข์เรายากนะ เราจะเอาตัวไม่รอดนะ

เอาตัวรอดไม่รอดมันเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้เป็นปกตินี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี สิ่งต่อๆ ไปก็ดี ถ้าปัจจุบันนี้มันทุกข์มันยาก เราก็ต้องพยายามใคร่ครวญ พยายามทำให้สิ่งที่ปัจจุบันนี้ให้มันเจริญงอกงามขึ้นมา ความเจริญงอกงามขึ้นมานั้นคืออะไรล่ะ คือปัญญาญาณไง ปุ๋ย ต้นไม้จะเจริญงอกงามต้องใส่ปุ๋ย สิ่งที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำขึ้นมาเพื่อพรวนดินให้ต้นไม้งอกงามขึ้นมา

นี้ก็เหมือนกันหน่ออ่อนของมันเกิดไง ถ้าเราย้อนเข้ามาเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมเห็นไหม หน่ออ่อนของต้นไม้เกิดงอกขึ้นมา ถ้าเรารดน้ำพรวนดินเห็นไหม การรดน้ำพรวนดินถ้าเราให้ปุ๋ยมากเกินไป เรารดน้ำมากเกินไป หน่ออ่อนนั้นก็ตายได้ การใช้ปัญญาก็เหมือนกัน เราคิด เราพิสูจน์ของเรา เราฝึกฝนปัญญาของเรา ถ้าปัญญาของเรามันไม่ก้าวเดินเห็นไหม เราต้องปล่อยแล้วกลับมาทำความสงบกำหนดพุทโธก็ได้ ใช้ปัญญาเวลาปัญญาไม่เกิดแล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิอย่างไรล่ะ

ปัญญาอบรมสมาธิคือใช้ปัญญาคิดใคร่ครวญในชีวิตประจำวันในความเป็นไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ มันเป็นอาการของใจ มันเป็นเงาของใจ สิ่งนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา เวลาที่มันฟุ้งซ่าน เวลาที่มันทุกข์ ทุกข์เพราะขันธ์มันทำงาน สิ่งที่ขันธ์มันทำงานแล้วมันมีกิเลสไงคือพญามาร มีตั้งแต่พญามาร ลูกของมัน นางตัณหา นางอรดี กามราคะ ความโลภ ความโกธร ความหลงเป็นลูกของพญามาร ความเห็นผิดอุปาทานว่ากายเป็นเรา เป็นหลานของพญามาร แล้วเหลนของมันสักกายทิฏฐิแค่เหลนนะ แค่เด็กๆ ของกิเลสนะ เรายังไม่มีกำลังที่จะเข้าไปทำลายมันเลย

สิ่งที่จะเข้าไปทำลาย เราถึงต้องพยายามใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คำว่าปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาจากขันธ์ ๕ สิ่งที่เป็นขันธ์ ๕ เราใช้ปัญญาและสติใคร่ครวญเข้าไป มันจะปล่อยวางเข้ามา ถ้าเราใช้ปัญญาโดยภาวนามยปัญญาแล้วมันเกิดชั่วครั้งชั่วคราว การฝึกปัญญาอย่างนี้มันไม่มีกำลัง เราต้องกลับมาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คือคิด คือให้ปัญญามันใคร่ครวญออกมาในความเป็นไปของโลก ในความเป็นไป ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้สติควบคุมไป มันก็จะปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา

แล้วเราย้อนกลับไป ย้อนกลับไปดูอาการของจิต อาการของจิตเห็นไหม ขันธ์ ๕ เหมือนกันแต่มีสัมมาสมาธิ ถ้ามีสัมมาสมาธิ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งเห็นไหม ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร คือปัญญารอบรู้ในความคิดไง ปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะไปรู้เท่าทันความคิด ถ้าไปรู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันความเกิดดับของจิตเห็นไหม ถ้ารู้เท่าทันมันก็หยุด

สิ่งที่หยุดนั้นคือสมาธิคือสมถะเห็นไหม ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอบรู้ในกองสังขารแล้วปล่อยเข้ามา แล้วขณะที่มีสัมมาสมาธิอย่างนี้ถ้าสังขารมันเกิดขึ้นมาอีก มันความคิดนี้มันมีสมาธิรองรับ ถ้าสมาธิรองรับนี้คือปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญาปัญญาในมรรค ๘ จะเกิดอย่างนี้ไง กลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิ กลับมาที่พุทโธ เพื่อจะเกิดพลังงาน

สิ่งที่เป็นพลังงาน เราก็ย้อนกลับไปฝึกปัญญาอีก ปัญญาจะเข้าไปใคร่ครวญ เราถึงจะไม่นอนใจ ถ้าเราไม่นอนใจนะ เราจะมีอุบายวิธีการ จะฟื้นฟูตัวเอง จะพยายามรดน้ำพรวนดิน จะใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ให้หน่ออ่อนของปัญญานี้งอกงามขึ้นมา ถ้าหน่ออ่อนของมันงอกงามขึ้นมาเห็นไหม มันจะเข้าไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม โดยเห็นสัจจะความจริง ขณะที่เรากำหนดพุทโธ พุทโธจิตสงบเข้ามาเห็นไหม ถ้าเกิดเวทนา เกิดความรู้สึก ถ้ากำลังเรามีเราต้องกลับไปดูที่เวทนานั้น เวทนานี้เกิดขึ้นมาจากไหน เวลาเราอยู่ปกติความเจ็บหัวเข่า ความเจ็บแข้งเจ็บขามันมีไหม มันไม่เกิดกับเรา

ถ้าเวทนานี้เป็นความจริงเห็นไหม เราลุก เราอยู่ในปกติท่าไหนความเจ็บปวดนี้จะอยู่คงที่ไปกับเรา ความเจ็บปวดนี้จะไม่คงที่กับเราถ้าจิตมันไปสัมผัส จิตมันไปเกาะเกี่ยวเวทนานี้ก็จะเกิดกับจิตเห็นไหม สิ่งที่ร่างกายนี้ถ้าใช้กิเลสนะ ปัญญาด้วยกิเลสก็บอกเพราะเรานั่งสมาธิเลือดลมมันไม่เดิน สิ่งนี้มันเป็นวัตถุ จิตต่างหากไปเกาะเกี่ยวทั้งหมด ถ้ามีกำลังขึ้นมา มีกำลังขึ้นมาเห็นไหม จิตมีกำลังเวลา น้อมไป เวทนามาจากไหน เกิดดับอยู่อย่างไร มันจะเข้าไปเห็นความเป็นจริงว่าจิตนี้ต่างหากไปรับรู้ ถ้าจิตนี้ต่างหากไปรับรู้เห็นไหม ถ้ากำลังมันพอ มันจะปล่อย

สิ่งที่ปล่อยมันปล่อยมันก็ว่าง มันก็สงบอยู่พักหนึ่งเดี๋ยวเวทนาก็เกิดอีก เวทนาเกิดแล้วเกิดเล่าขนาดพิจารณาขนาดไหน ปล่อยวางขนาดไหน เดี๋ยวก็เกิดอีก เกิดอีกเพราะอะไร เพราะเป็น ตทังคปหาน มันเป็นการปล่อยวางชั่วคราว สิ่งที่ปล่อยวางชั่วคราวเพราะสิ่งนี้มันเป็นการ กิเลสนี้มันยังมั่นคงในหัวใจ เพราะจิตนี้เกิดตายๆ มาไม่มีต้นไม่มีปลาย ความเกิดตายความสะสม สิ่งที่สะสมของใจดวงนี้มันเป็นนามธรรมนะ แต่มันยึดมั่นถือมั่นของมันโดยมาร โดยสังโยชน์ โดยความเป็นไปของกิเลสนั้น

ถ้าเราวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า ถ้ากำลังไม่พอ ขณะที่เราทำความสงบของใจแล้วถ้าเวทนาเกิด ถ้ากำลังไม่พอนะ เหมือนกับเด็ก เด็กให้แบกของหนักยกของหนัก ยกไม่ไหวยกไม่ขึ้น จิตถ้ากำลังไม่พอออกไปหาเวทนา ไปดูเวทนาเวทนาจะเจ็บสองเท่าสามเท่าเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้สิ่งที่จิตกำลังไม่พอไปแบกของหนักถึงต้องกลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ความสงบของใจ นี่สิ่งนี้คือการก้าวเดินไง การก้าวเดินของการวิปัสสนา ต้องก้าวเดินทั้งสมถะกับวิปัสสนาไป

มนุษย์มี ๒ ขาเวลาก้าวเดินทั้งซ้ายและขวา ก้าวผลัดกัน ก้าวกันเราจะก้าวกันไป มนุษย์เดินขาเดียวเห็นไหม เราใช้วิปัสสนาเราก็จะเอาแต่ผลงาน ขณะที่เราทำสมถะเราก็ต้องการความสงบ เนี่ยมันไม่สมดุลตลอดไป แทนที่มันกำลังไม่พอเราต้องกลับมาที่ความสงบของใจกับมาพุทโธ พุทโธก่อน ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องไปกังวลนะ ว่าเราไม่ได้ฝึกปัญญา เราไม่ใช้ปัญญาเราจะฆ่ากิเลสไม่ได้ ถ้าเราไปห่วงกังวลอย่างนี้ มันไปนอนอยู่ในปลักไง กิเลสมันหลอกไปทุกอย่างคือหลอกไปทุกกิริยาที่จิตมันจะก้าวเดินไป สมถะก็หลอก วิปัสสนาก็หลอก

กิเลสเห็นไหม กิเลสจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน กิเลสจะไม่ปล่อยให้จิตนี้เป็นอิสระ งานของกิเลสคือทำให้เราไขว้เขว งานของธรรม ธรรมคือปัญญา คือสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกต้อง ถ้าความเห็นถูกต้องนะ เราความเห็นถูกต้องเห็นไหม เราเริ่มต้นจากวิปัสสนา เริ่มต้นจากเราก้าวเดินใหม่ความเห็นถูกต้องก็บอก เราต้องทำไป เราต้องพิสูจน์ เราต้องพยายามให้เห็นผลของมัน นี่เวลาผลของมันเห็นไหม เวลาวิปัสสนา เวลาปล่อยวาง นี่คือผล เราก็ดูผล ผลย้อนไปหาเหตุ ผลนี้เราก็ไม่เชื่อผลนี้ เพราะผลนี้เวลามันปล่อยวาง ถ้ากิเลสมันอาศัยผล มันอ้างผล มันก็ว่านี้ปล่อยวางแล้ว นี่เป็นสัจจะความจริง นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเดี๋ยวมันก็จะเสื่อมสภาพไปเพราะมันไม่เป็นความจริงไง

แต่ถ้าเรามีสติอยู่ เรามีปัญญาของเราอยู่ เราจะตรวจสอบได้ตลอดเวลาทั้งๆ ที่เรามีกำลังอยู่นี้ เรามีกำลังนะ พอมันปล่อยวางขนาดไหน เราเคยพอใจสิ่งใด เราเอาอารมณ์สิ่งนั้นเทียบเคียง มันจะเกิด สิ่งที่เกิดนะ เหมือนกับเราโยนหินถามทาง โยนไปหินโยนไปนี่มันกระทบสิ่งใดมันต้องเกิดเสียง มันต้องเกิดความเป็นไป นี่ก็เหมือนกันเรานี่น้อมจิตนี้ไปสิ่งที่เราพอใจสิ่งใด มันก็จะเกิดความรู้สึก เกิดความรู้สึกสิ่งนี้มันก็ไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงเราก็ต้องทำซ้ำต่อไปเห็นไหม กลับย้อนกลับมาวิปัสสนา ทำแล้วทำเล่า ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญเล่า การฝึกฝนของเรา เราต้องไม่สุกเอาเผากิน ไม่มักง่าย

สิ่งที่มักง่ายนะ สิ่งนี้คือความประมาทเลินเล่อ ถ้าความประมาทเลินเล่อถึงทำให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน ไม่ได้ผลตามความเป็นจริงตลอดไป แต่ถ้าเราไม่ประมาทเลินเล่อ เราไม่สุกเอาเผากินเห็นไหม

๑.ไม่ประมาท

๒.ไม่นอนใจ

แล้วเราพยายามของเราขึ้นไป สิ่งที่พยายามนี้ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น ความสำเร็จนะ การประพฤติปฏิบัติเราลงทุนลงแรงไปขนาดนี้เราพยายามประพฤติปฏิบัติขนาดนี้ เราเอาหัวใจของเรามาปฏิบัตินะ

ร่างกายนี้มันต้องเสื่อมสภาพโดยธรรมดา สิ่งที่เสื่อมสภาพไปโดยธรรมดาโดยที่มันไม่ได้มีคุณประโยชน์อะไรกับเราขึ้นมาเลย ใช้ชีวิตในชาติหนึ่งโดยที่สิ่งนี้ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติของเขา เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟโดยธรรมชาติของเขา จะเผา จะฝัง มันก็ต้องกลับไปอยู่ธรรมชาติเดิมของมัน

แต่หัวใจที่มันเสวยเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่เสวยเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วเรามีดวงตาเห็นธรรม สิ่งนี้เป็นเรื่องของใจ สิ่งนี้เป็นเรื่องของใจดวงนี้ เป็นเรื่องของใจที่มันเห็นสภาวธรรมอย่างนี้ มันปล่อยวางจากเชื้อไขของใจเห็นไหม ถ้าปล่อยวางจากเชื้อไขของใจเราถึงต้องมีความไม่สุกเอาเผากิน ไม่ประมาทเลินเล่อ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกแล้วให้มีสติ มีสมาธิตลอดไป นี่ถ้ามันเป็นกิเลสมันก็มีการสุกเอาเผากิน มันเป็นมรรคเห็นไหม มิจฉามรรคไง มิจฉาปฏิบัติ แค่เป็นครั้งเป็นคราวก็หวังผล

แต่ในการประพฤติปฏิบัติโดยธรรมหลวงปู่มั่นท่านสอนไว้นะ ท่านบอกว่าจะเหยียด จะคู้ จะดื่ม จะกิน จะเคลื่อนไหวเห็นไหม ต้องตั้งสติตลอดไป แล้วขณะที่เหยียดคู้มันใช้ชีวิตประจำวันไง ขณะที่เรามานั่งสมาธิ เราเดินจงกรมอยู่นี่มันยิ่งกว่าเหยียดคู้นะ เพราะอะไร เพราะขณะนี้เราเข้าเผชิญกับกิเลสนะ เราเข้าเผชิญกิเลส กิเลสนี่มันอยู่ที่ใจ กิเลสนี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน

เหมือนพลังงานนี่ เวลามันเผาไหม้ตัวมันเองมันให้ความร้อนมันให้พลังงานตลอดไป แล้วเราจะเข้าไปทำลายดับพลังงานนั้น จะเข้าไปทำลายๆ พลังงานนั้น ให้พลังงานนั้นเป็นพลังงานบริสุทธิ์ เราถึงจะต้องตั้งใจเห็นไหม ตั้งใจแล้วต้องตั้งสติให้ดีๆ เพราะพลังงานนั้นมันให้ความร้อนไง มันให้ความร้อนแล้วมันให้โทษด้วย ให้ความร้อนนี้มันเป็นพลังงานของโลกนะ พลังงานนี้จะให้ประโยชน์กับโลกมาก

แต่พลังงานของจิตมันมีกิเลส ถ้ามีกิเลสนะ มันบิดเบือนพลังงานนั้นไง มันบิดเบือนว่าพลังงานนี้มันจะต้องเป็นสภาวะที่มันพอใจ เห็นไหม มันก็ล่อหลอกเรา ล่อหลอกเราเริ่มต้นก็ประพฤติปฏิบัติ พอประพฤติปฏิบัติไปมันก็ให้ค่า มันก็ทำลาย มันทำลายให้เราล้มลุกคลุกคลานไง สิ่งที่ล้มลุกคลุกคลานนี่ ปฏิบัติอย่างนี้มันก็เท่ากับสักแต่ว่าปฏิบัติ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ ให้ปฏิบัติบูชาเถิด การปฏิบัติบูชา สิ่งที่ปฏิบัติบูชามันต้องเป็นสัมมา ถ้าเป็นสัมมามันก็เข้ามรรค ถ้ามันไม่เป็นสัมมา มันก็ล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่ล้มลุกคลุกคลานเพราะเรามีกิเลสโดยพื้นฐาน การล้มลุกคลุกคลานนี้มันเป็นครูไง ผิดก็เป็นครูนะ ถ้าถูกต้องนี้เป็นการ เป็นสิ่งที่ให้เรามีกำลังใจ ถ้ามีความถูกต้องมันจะต้องปล่อยวางเข้ามา จิตนี้สงบเข้ามา ขณะที่วิปัสสนามันก็ปล่อยวางเข้ามา ขณะปล่อยวางๆ จิตมันจะเข้ามามีความรู้สึกตลอดไป การปล่อยวางขนาดที่ว่าเป็นสัมมาสมาธินี่มันปล่อยวางจากเงาของจิต คืออาการปล่อยจากเปลือกของผลไม้เข้ามาในเนื้อผลไม้ มันจะมีความสงบร่มเย็นของมันมาก

แต่ถ้าขณะที่เราวิปัสสนามันปล่อยวาง มันปล่อยวางคือมันปล่อยความเกาะเกี่ยว สงบเข้ามาแล้วเชื้อไขยังเบาลงๆ นี่หมั่นคราดหมั่นไถ ทำบ่อยๆ ครั้งจากปล่อยขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์คือเปลือก สิ่งต่างๆ อาการของใจ ขันธ์อย่างหยาบ..เหลน เหลนของมาร ขันธ์อย่างหยาบ..หลานของมาร ขันธ์อย่างละเอียด..ลูกของมาร แล้วตัวมารล่ะ ตัวมารนี้เห็นได้ยากมากนะ ตัวมาร

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

แล้วจิตผ่องใสตัวที่มันปล่อยวาง ปล่อยวางเข้ามาทั้งหมดนี้ มันจะไปจับตัวมันเองอย่างไรล่ะ

ขณะที่ว่าขณะที่เราจะพิจารณาลูกของมาร เราก็พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม กาย กายสิ่งใดไปเกาะเกี่ยวมัน กายก็ความรู้สึกของใจไปเกาะเกี่ยวมัน คนตายแล้วมีความรู้สึกไหม คนตายเห็นไหม กายเขาพร้อมอยู่แต่จิตเขาออกไปจากร่างไปแล้ว ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่เวลากายของเราเจ็บนั่งนานก็เจ็บ ขณะที่ว่านั่งนานนะ คนเราแบบว่าอยู่ท่าใดสบายชอบท่านั้น ท่าที่สบายขนาดไหนถ้าอยู่นานมันก็เจ็บ เจ็บทั้งนั้นแหล่ะ สิ่งนี้เห็นไหม แต่ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์มันพลิกแพลงตลอดไป มันเปลี่ยนท่าตลอดไป เราหนีทุกข์โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยนะ

ถ้าเป็นปัญญาของโลกเป็นปกติเห็นไหม ปกติของโลกเขาเขาก็ผ่อนคลายของเขาเข้ามา นี่เป็นสมมุติบัญญัติ แต่ขณะที่เป็นวิปัสสนาขึ้นมา มันเป็นสัจจะความจริงเห็นไหม ขณะที่จะเป็นสัจจะความจริงมันถึงต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริง ถ้าเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริง ทุกข์ควรกำหนด! ขณะที่เราเจอทุกข์เราก็ผ่อนคลายความทุกข์ที่เป็นโลกด้วยเห็นไหม ที่มีความทุกข์ขนาดไหนต้องไปผ่อนคลายต้องไปทัศนศึกษา ไปให้มันลืมเรื่องเก่า

แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติทุกข์อยู่ที่ไหน ค้นหาทุกข์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทุกข์ควรกำหนด ทุกข์ควรกำหนด เราเห็นแต่กากของทุกข์นะ เวลาร้องไห้รำพึงรำพันกันมันกากของทุกข์เพราะอะไร เพราะอวิชชามันทำงานแล้ว ความคิดมันเจ็บปวดแล้ว หัวใจมันเจ็บปวดจากหัวใจแล้วมันถึงมีอาการออกเศร้าโศกเสียใจถึงร่ำพิไรรำพันกันออกมาเห็นไหม สิ่งนี้เป็นอาการของใจ

แต่ถ้าตัวทุกข์กำหนด จิตสงบเข้ามานั่นแหละตัวทุกข์ สิ่งที่ตัวทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่จิตสงบเข้ามาย้อนไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้เห็นไหม สิ่งที่ขันธ์อย่างหยาบๆ พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ สิ่งที่ซ้ำๆ ซากๆ จนถึงที่สุดมันจะสมุจเฉทปหาน ขณะที่สมุจเฉทปหานสังโยชน์ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาดออกไปจากใจนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันแยกออกจากกันโดยสัจจะความจริงของมัน

ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้มันขาดอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ความรู้จริงเห็นจริงของใจไง ความรู้จริงเห็นจริงอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากปัญญาญาณ เกิดขึ้นมาจากปัญญาภายใน

แต่นี่เรารู้จำ รู้จำวิปัสสนาไปมันก็จะเป็นรู้จำจากภายในเพราะอะไร เพราะมันเอาสถิติ เอาสถิติเอาข้อมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอาหัวใจนี้สร้างภาพ สิ่งที่สร้างภาพเห็นไหม เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ปล่อยวางเป็นการสร้างภาพ เป็นการ..สิ่งที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ไม่ขาด ถ้ามันไม่ขาด สังโยชน์มันไม่หลุดออกไป ถ้าสังโยชน์มันไม่หลุดออกไป มันมีความลังเล ความลังเลสงสัยวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัย ถ้ากายมันขาดออกไป นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด

ถ้าวิปัสสนาไปมันจะขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าวิปัสสนากายก็เหมือนกันมันปล่อยวาง ปล่อยกาย กายกับจิตปล่อยออกจากกัน แยกออกจากกัน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ความเห็นผิดในกาย

“ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕”

สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขาดออกไป ขาดอย่างไร ถ้าผู้รู้จริงเห็นจริงมันจะขาดออกไป มันกังวานอยู่กับใจดวงนั้นนะ ถ้าใจดวงนั้นแบบใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ทันใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ แต่ปัญจวัคคีย์จะรู้ใจของพระอัญญาโกณฑัญญะไหมล่ะ ใครจะรู้ใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ แต่เทวดา อินทร์ พรหมรู้ รู้เพราะอะไร?

เพราะจิต จิตของมนุษย์กามราคะ สิ่งที่เป็นขันธ์อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มันเป็นเหมือนกับสัตว์ที่มันนอนจมปลัก สิ่งที่มันนอนจมปลักเห็นไหม สิ่งที่เป็นปลักมันว่าเป็นความร่มเย็นเป็นสุขของมันเห็นไหม มันเป็นความสกปรกจากมนุษย์ที่มองไป นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตของเรามันจมอยู่ในปลัก ปลักของกามราคะ ปลักของการอุปาทาน ปลักของสักกายทิฏฐิความเห็นผิด เห็นไหม เทวดาเขาเห็นว่าจิตนี้กลิ่นสกปรก แต่ถ้าจิตเวลามันปล่อยกลิ่นสะอาด กลิ่นสะอาดเพราะจิตนี้ผ่องแผ้ว จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสทั้งๆ ที่ยังไม่พ้นกิเลสมันยังผ่องใสเลย

จิตผ่องใส จิตสว่างขนาดไหน ผ่องใสขนาดไหน เห็นไหมสิ่งนี้อยู่ในอวิชชา แต่ถ้าทำลายอวิชชาออกไป ขาดออกไปเห็นไหม วิมุตติสุข เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสว่าง เวลาผู้ที่มีธรรมในหัวใจกำหนดไปดูที่ใจ ใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จากดาวน้อย ดาวดวงใหญ่ จากเป็นพระอาทิตย์ จากใจที่สว่างครอบจักรวาล สิ่งที่ครอบจักรวาลเพราะอะไร เพราะมันทำลายคายพิษของมันออกมาจากใจไง สิ่งที่คายพิษออกมาจากใจ มันมีความสะอาดตั้งแต่ว่าสัตว์มันออกจากปลัก มันไปอาบน้ำของมัน มันลงน้ำสะอาด มันก็สะอาดขึ้นมา สิ่งที่สะอาดขึ้นมาถ้ามันทำลาย มันทำความสะอาดของมัน นี่เป็นเรื่องของสัตว์ มันเป็นเรื่องของวัตถุ

แต่หัวใจความเศร้าหมอง ความคิด ความหมักหมมของใจ สิ่งที่ความหมักหมมของใจนั่นคือความสกปรกโสมมของมัน ถ้ามันคายออกเห็นไหม มันก็มีสะอาดของมัน ใจดวงนี้รู้เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกจากใจดวงนี้ แล้วใจดวงนี้เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติเป็นประสบการณ์ของใจดวงนั้น นี่จะไม่ถามใคร ถ้ายังถามกันอยู่เห็นไหม สิ่งที่ถามว่าเป็นสภาวะแบบนั้น เราก็ต้องลังเลของเรา

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ออกมาจากป่าเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไม่ได้มีความลังเลสงสัยแต่เป็นสังคมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ในเมื่อสังคมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาเข้าสังคมกันก็ต้องพูดกันเรื่องปฏิบัติเห็นไหม ในสังคมของหมู่คณะใด เขาก็จะเอาวิชาการของเขามาคุยทางวิชาการของเขา มันเป็นสิ่งที่เขาถนัดเห็นไหม

แต่สังคมของครูบาอาจารย์เรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นแขนง มันเป็นปลีกย่อยของแต่ละบุคคลเห็นไหม สิ่งที่การวิปัสสนากายเหมือนกัน การที่สะสมเข้ามาแล้วมันปล่อยวางก็ต่างกัน สิ่งที่ต่างกันเห็นไหม จริตนิสัยมีหยาบละเอียดต่างกัน สิ่งที่ละเอียดสิ่งที่จิตละเอียด ขนาดปล่อยวางขนาดไหน ความละเอียดของจิตมันก็ยังเกาะเกี่ยวอยู่เห็นไหม ต้องซ้ำเข้าไปๆ จนเข้าไปถึงสิ่งละเอียดที่อยู่ที่ก้นบึ้งของใจนั้น ไปรื้อค้นสิ่งที่ก้นบึ้งหัวใจนั้น ทำลายสิ่งที่ก้นบึ้งหัวใจนั้น มันถึงจะปล่อย ถ้าสิ่งนี้ปล่อยมันถึงต้องทำซ้ำมากกว่า

สิ่งที่หยาบ และจิตที่หยาบขณะที่พิจารณาไปขณะที่ว่าความเข้าใจสิ่งนี้มันก็ปล่อย ปล่อยเหมือนกันเป็นพระโสดาบันเหมือนกัน แต่กิริยาหรือจิตที่เข้าไปทำลายต่างกัน แม้แต่พิจารณากายเหมือนกัน ถึงว่าจริตนิสัย แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำให้เข้ากับจริต เข้ากับนิสัยของตัวแล้วไม่ประมาทตัวเอง ไม่นอนใจ นอนจมกับโอฆะ สิ่งที่เป็นโอฆะนะ จิตกามราคะ โอฆะนี่ ตัณหา อรดี ความโลภ ความโกธร ความหลง โกรธตลอดเพราะมีปฏิฆะความข้อมูลของใจ จริตไง สิ่งที่ใจมันเคยใจ สิ่งนี้เรารักษาของเราแล้วมีคนมาล่วงเกิน มาดูถูก มาทำลาย มันจะเกิดความโกรธเพราะมันผิดข้อมูล ผิดจากเราเห็นไหม ถ้าเราเข้าไปเห็นสภาวะแบบนี้ นี่กามราคะ

ฉันทะความพอใจ ถ้าจิตมันมีความพอใจ มันมีความพอใจในฉันทะมันนอนอยู่ในโอฆะ นอนใจ ถ้านอนใจนะ อารมณ์อย่างนี้เกิดมาแล้วแสวงมันก็รักษาเห็นไหม อารมณ์ความรู้สึกความพอใจ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมา ความรู้สึกของใจทั้งหมดต้องทำลาย ถ้าเราไปห่วงไปอาลัยอาวรณ์กับความว่าง ไปห่วงไปอาลัยอาวรณ์สิ่งนี้ที่เป็นสภาวธรรม เห็นไหมเราโดนกิเลสหลอก กิเลสมันหลอกเราว่าความว่างอย่างนี้เป็นสภาวธรรม ความว่างอย่างนี้ใครไปรู้ความว่างล่ะ จิตนี่ไปรู้ความว่าง

จิตกับความว่างคนละอันนะ แต่ขณะที่มันปล่อยๆ ขันธ์อย่างละเอียดเข้ามาเห็นไหม มันไม่ต้องบอกว่าใครเป็นความว่างมันจะว่างโดยตัวมันเอง ถ้าว่างโดยตัวมันเอง “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันผ่องใสมันว่างตลอดเลย” ว่างขนาดไหนก็แล้วแต่ความรู้สึกมันมีนะ โดยสสารทั่วโลก ความว่างอวกาศเขาจะไม่มีความรู้ของเขาเพราะเขาไม่ใช่จิต แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้ามาถึงตรงนี้มันเป็นความว่างเพราะมันปล่อยสิ่งต่างๆ เข้ามา ปล่อยเข้ามาหมดจนเป็นความว่างหมดเลย เหมือนกับว่าอยู่ในเรือนว่าง อยู่ในเรือนร้างไง

บ้านร้าง บ้านที่เขาร้างๆ อยู่นะ มันมีคุณค่าอะไรกับเขาล่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุใช่ไหม แต่ถ้าบ้านร้างของเราเพราะเราอยู่ในบ้านร้างไง เราถือว่าบ้านนี้ร้าง มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเก่าคร่ำคร่า มันเป็นสิ่งที่เป็นเรือนร้าง เรือนร้างนี่ใครเป็นคนพูด ถ้าจิตมันย้อนกลับเข้ามาเห็นไหม นี่พญามาร ถ้าย้อนกลับได้การย้อนกลับการทวนกระแส ถ้านอนใจแต่ละขั้นตอนมันก็ติดไปแต่ละขั้นตอน ถ้าไม่นอนใจแต่ละขั้นตอนมันจะมีสติเห็นไหม สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ

ถ้าเป็นมหาสติ มหาสติก็จะเข้าไปทำลายนางตัณหานางอรดี สิ่งนี้เป็นมหาสติ-มหาปัญญาเพราะมหาสติ-มหาปัญญามันเป็นการที่ ปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้ง ลึกซึ้งเข้าไปทำลายขันธ์อันละเอียด ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ปัญญาก็ต่างกัน ความเห็นก็ต่างกันเพราะอะไร เพราะโทษต่างกัน โรคภัยไข้เจ็บต่างกัน สิ่งที่โรคต่างกัน ยาก็ต้องต่างกัน ยาขนานเดียวจะไปรักษาทุกโรคมันเป็นไปไม่ได้หรอก โรคคนละชนิดยาก็ต้องคนละชนิดเห็นไหม

นี่สิ่งที่กิเลสอย่างหยาบมันก็เป็นมรรคอย่างหยาบ มรรคอย่างหยาบก็เข้าไปทำลายขณะที่ทำลายมรรคอันนั้นกับกิเลสอันนั้นก็ทำลายกันจนเป็นมรรคสามัคคี เป็นมรรคญาณทำลายสิ่งนั้นเข้าไป แล้วถ้าละเอียดขึ้นไปนี่มรรคที่ละเอียดขึ้นไปถึงที่สุดแล้วนี่เป็นมหาสติ-มหาปัญญา แล้วจะเป็นปัญญาญาณ ถ้าเป็นปัญญาญาณเห็นไหม ความละเอียด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณคือปัญญาญาณ ปัญญาญาณละเอียดเข้าไปทำลายถึงความว่างนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเห็นไหม นี่ขนาดโมฆราชว่าว่างขนาดไหน ภิกษุเข้าไปถามว่าว่างขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ว่าว่างเพราะว่างในสมาธิอย่างหนึ่ง ว่างของโสดาบันอย่างหนึ่ง ว่างของสกิทาคามีอย่างหนึ่ง ว่างของพระอนาคาอย่างหนึ่ง แล้วติดในความว่างก็อย่างหนึ่ง

แต่ขณะที่พลิกฟ้าคว่ำดินเห็นไหม นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ความว่างอย่างนี้เป็นความว่างโดยกิริยา ความว่างโดยสมมุติบอกว่าว่างแต่ความจริงมันไม่มีสิ่งใดว่าง ไม่มีสิ่งใดเป็นอะไรทั้งสิ้น มันหมดออกไปจากวัฏฏะ มันทำลายวัฏฏะ จากจิตที่นอนจมนอนใจเพราะประมาทเลินเล่อ มันทำลายตัวมันเองจนหมดออกไป เพียงแต่ว่าเป็นการสมมุติออกมา เป็นสมมุติ สมมุติกัน พูดกัน สมมุติบัญญัติว่าเป็นความว่าง แต่ในความเป็นจริงมันว่างไม่ได้ มันอ้าปากไม่ได้ มันพูดไม่ได้เพราะมันเป็นวิมุตติสุข มันเป็นวิมุตติไง ความสงบร่มเย็นอย่างนี้ความสงบจนไม่มีภาษา ไม่มีกิริยาเคลื่อนไหวไม่มีสิ่งใดๆ จะสืบต่อ เห็นไหม มันจะเข้าไปสงบอยู่ตรงนั้น

ถ้าเราไม่นอนใจ เราประพฤติปฏิบัติ เราก้าวเดินเข้าไปในหัวใจมันจะเข้าไปถึงเป้าหมายแล้วก็ทำลายเป้าหมายเข้าไปเหมือนค่ายกล ทำลายเข้าไปทีละชั้นตอนๆ จนเข้าไปถึงเจ้าวัฏฏะจักรแล้วพลิกคว่ำเจ้าวัฏฏะจักรทั้งหมดนะ นี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าประกาศธรรมจักร ประกาศธรรมแล้วประกาศธรรมจักรเห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ส่งต่อกันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคลื่อนจักรแล้ว จักรนี้จะไม่กลับคืน ไม่กลับคืนเพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทั้งแท่ง สิ่งที่พูดออกมาจิตเทศนาว่าการเป็นกิริยาของธรรม แล้วพระปัญจวัคคีย์ประพฤติปฏิบัติเข้าไปเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด สิ่งที่พระอรหันต์ทั้งหมด แล้ววางธรรมไว้ เราศึกษากิริยาศึกษาวิชาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วประพฤติปฏิบัติ แล้วเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาจากหัวใจของเรา เป็นมรรคญาณเป็นเหตุเป็นผล เป็นมรรค เป็นทางอันเอก

มัคโคทางอันเอกของใจดวงนั้น มัคโค ถนนหนทางรัฐบาลตัดไว้ทุกคนในประเทศมีสิทธิ์ใช้สอย แต่ขณะที่ว่ามรรคญาณในหัวใจของสัตว์ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เป็นแผนที่ เราต้องตัดทางของเราเอง ทางของใครก็บุคคลนั้นเดินได้คนเดียว คนอื่นจะไม่สามารถเดินบนทางของบุคคลคนนั้น เพราะทางนี้เป็นทางในหัวใจ ถ้าทางในหัวใจเป็นผู้ตัดทางนั้นก็ต้องปฏิบัติตามนั้น นี่เวลาตัดทางนั้นนี่คือมรรค

มรรคสิ่งที่มรรคอันเอกเกิดขึ้นมาจากใจ ปัญญาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากใจ จากการไม่นอนใจ ถ้านอนใจก็จะนอนจมอยู่ในกิเลส ถ้าไม่นอนใจเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะมีโอกาสเอาใจของเราพ้นออกไปจากกิเลส เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจริงตามนั้น แล้วพระปัญจวัคคีย์ก็เป็นจริงตามนั้น พระอัสสชิถึงได้เทศนาว่าการให้กับพระสารีบุตร บอกว่าธรรมทั้งหลายสิ่งต่างๆ นี่ ผลนี่มาแต่เหตุ เวลาพระสารีบุตรพิจารณาเท่านั้นพระสารีบุตรก็ยังเป็นพระโสดาบันเลย

แล้วธรรมอย่างนี้อยู่ในพระไตรปิฎกแล้วประกาศก้องอยู่ทุกวัน แล้วเรานี่เราฟัง เราอ่าน เราศึกษา แล้วหัวใจเราเป็นอย่างนั้นไหม เพราะหัวใจเราไม่เป็นอย่างนั้น เราถึงเป็นผู้ประมาท เป็นผู้ประมาทเพราะเราไม่คิดค้นคว้า เราไม่ตัดทางของเราในหัวใจของเรา เราไม่สร้างทางของเราขึ้นมาไง นี่เก็บเล็กผสมน้อยเห็นไหม เวลาเขาตัดทางเขาต้องบดดิน เขาต้องมีหินลงไป

นี่ก็เหมือนกัน กำหนดพุทโธๆ นี่ตั้งแต่เสาเข็ม ตั้งแต่สิ่งต่างๆ นี่ เราต้องสะสม ต้องบดดิน ต้องอัดดินขึ้นมาจนสิ่งนี้เป็นพื้นฐานขึ้นมา จนเราตัดทางของเราขึ้นมาได้ ถ้าเราตัดทางขึ้นมาได้ปัญญาก็จะเกิด ปัญญาก็จะหมุนไป สิ่งที่หมุนไปคือธรรมจักรมันหมุน ธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไปแล้วนี่เป็นวิชาการ ถ้าธรรมจักรของเราเกิดในหัวใจ เราจะเห็นปัญญามันหมุนออกไป แล้วปัญญามันก็จะหมุนไปฆ่ากิเลส ทำลายกิเลส เป็นทางของเรา เป็นการประพฤติปฏิบัติของเราจากการที่ไม่นอนใจของเรา เอวัง